“กุญแจ 3 ดอก” หลายท่านคงจะมีประสบการณ์ชีวิตเกี่ยวกับการพยากรณ์ดวงชะตามากันไม่มากก็น้อย ซึ่งอาจจะเป็นคนพยากรณ์เองหรือจะเป็นผู้ขอรับฟังคำพยากรณ์ ท่านเคยสงสัยหรือป่าวว่าอะไรเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดถึงความแตกต่างของสิ่งมีชีวิตบนโลก รวมไปถึงสิ่งมีชีวิตที่เราเรียกว่า “มนุษย์” จากการศึกษาโหราศาสตร์และค้นคว้าด้วยประสบการณ์(ที่แสนจะน้อยนิด) ทำให้ผู้เขียนทราบถึงความจริงบางสิ่งบางอย่างที่สำคัญ ผู้เขียนกำหนดชื่อขึ้นเองว่า “กุญแจ 3 ดอก” จากแนวคิดนี้จะทำให้เราทราบถึงเทคนิคการพยากรณ์ที่เป็นวิทยาศาสตร์มากที่สุด อย่าพึ่งสงสัยนะครับว่าโหราศาสตร์กับวิทยาศาสตร์มันจะเกี่ยวข้องกันได้ยังไง? ตามผู้เขียนมาเลยครับ แนวคิด “กุญแจ 3 ดอก” ประกอบด้วย - กุญแจแห่งเวลา - กุญแจแห่งปรัชญา - กุญแจแห่งอายุขัย เรามาเริ่มต้นที่กุญแจดอกแรกกันเลย นั่นก็คือ “กุญแจแห่งเวลา” เวลาคือสิ่งที่มนุษย์กำหนดขึ้นเพื่อประโยชน์ในการใช้ชีวิตให้สอดคล้องกับวงจรการดำเนินชีวิต ทุกวันนี้มนุษย์ได้ใช้เวลาในการทำกิจกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดเวลาตื่นนอน กำหนดเวลาเข้างาน กำหนดเวลากินอาหาร และ อื่นๆอีกมากมาย แต่จะมีใครสักกี่คนที่เข้าใจคำว่า “เวลา” ได้อย่างแท้จริง... อาจารย์พลตรีประยูร ปรามาจารย์ทางด้านโหราศาสตร์ระบบยูเรเนี่ยนได้กล่าวถึงคำนิยามไว้อย่างน่าฟังว่า “เวลา คือ ความนานจากขณะหนึ่งไปอีกขณะหนึ่ง” คำนี้สอดคล้องกับความจริงในจักรวาล เนื่องจากภายในจักรวาลที่กว้างใหญ่นั้น ไม่มีเวลาเป็นตัวกำหนดการเคลื่อนไหวมีแต่ความว่างเปล่าจุดสุดลูกหูลูกตา คนในยุคก่อนๆจึงพยายามหาสิ่งที่เป็นสัญลักษณ์ตัวแทนของความรู้สึกที่เรียกว่า “เวลา” ขึ้นบนโลกและถูกพัฒนามาเป็นเวลาที่เราใช้กันในปัจจุบัน ในทางโหราศาสตร์นั้น เวลาถูกนำมาใช้ในการคำนวนหาเมอริเดียนลัคนาและปัจจัยดาวพระเคราะห์ในขณะที่เจ้าชะตาเกิด เหตุใดเวลาจึงเป็นสิ่งสำคัญในการคำนวนดวงชะตา นั่นเป็นเพราะในความเป็นจริงมนุษย์ในโลกนี้ไม่ได้ใช้เวลาเดียวกันทั้งโลก จึงทำให้แต่ละพื้นที่มีเวลาเป็นเอกลักษณ์เฉพาะและรวมไปถึงการโคจรของปัจจัยดาวพระเคราะห์ที่เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา เมื่อเราคำนวนเวลาเมอริเดียนและลัคนาแต่ละพื้นที่ย่อมได้องศาของปัจจัยดาวพระเคราะห์แตกต่างกันด้วย เบื้องต้นในรายละเอียดของ “กุญแจแห่งเวลา” ขออนุญาติขยายไว้เป็นปฐมบทเพียงเท่านี้ก่อนเพราะในการคำนวณเวลาจริงยังมีรายละเอียดที่ลึกซึ้งและซับซ้อนกว่านี้อีกครับ... กุญแจดอกที่สอง “กุญแจแห่งปรัชญา” ปรัชญา คือการเปรียบเทียบสิ่งหนึ่งกับอีกสิ่งหนึ่งที่เทียบเคียงหรืออ้างอิงไปในทิศทางเดียวกัน เช่น “เบื้องบนเป็นเช่นไร เบื้องล่างเป็นเช่นนั้น” ปรัชญาที่ได้กล่าวถึงนี้เป็นปรัชญาพื้นฐานที่นักโหราศาสตร์ต้องรู้จัก เนื่องจากปรัชญาพื้นฐานนี้เป็นตัวแปรสำคัญอย่างมากในการแปรภาษาดวงดาวให้เป็นภาษาที่มนุษย์สามารถเข้าใจได้ มูลฐานของปรัชญาเหล่านี้เกิดจากการติดตามและเฝ้าสังเกตุถึงอิทธิพลของดวงดาวในขณะที่เหตุการณ์สำคัญปรากฏขึ้น จากนั้นเก็บข้อมูลที่ค้นพบมาตั้งสมุติฐานด้วยปรัชญาให้สอดคล้องกับความจริงมากที่สุด ตัวอย่าง เช่น “ปัจจัยดาวพระเคราะห์ในจักรวาลมีอิทธิพลต่อโลก” “มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่บนโลก” “มนุษย์จึงถูกอิทธิพลจากปัจจัยดาวพระเคราะห์ในจักรวาลด้วยเช่นกัน” จากปรัชญาตัวอย่างนี้ทำให้เราพบว่า การดำรงเผ่าพันธุ์ชีวิตของมนุษย์ไม่ได้เกิดจากอิทธิพลของโลกเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีอีกหลายปัจจัยที่ทำให้สิ่งมหัศจรรย์ก่อกำเนิดขึ้นบนโลกแห่งนี้ เมื่อครั้งอดีตผู้ที่รู้และเข้าใจปรัชญาเหล่านี้จะถูกเรียกว่า “พ่อมด, แม่มด หรือ ผู้วิเศษ” ที่เป็นเช่นนั้นเพราะบุคคลเหล่านี้ได้แสดงสิ่งมหัศจรรย์ที่เหลือเชื่อให้ประจักษ์ต่อสายตา ในความเป็นจริงเราก็สามารถเป็นพ่อมดหรือแม่มดได้เช่นกัน เพียงแค่เราเข้าใจปรัชญาที่เป็นมูลฐาน เช่น เมื่อพระจันทร์ใกล้โลกจะทำให้น้ำขึ้น ปลาจะออกมาชุมนุมกันเป็นจำนวนมากเนื่องจากน้ำที่ขึ้นจะนำสารอาหารขึ้นมาบนผิวน้ำ ชาวประมงจึงควรออกหาปลาในช่วงนี้ อิทธิพลของพระจันทร์ใกล้โลกยังไม่หมดแค่นี้ นอกจากน้ำขึ้นยังมีอิทธิพลทำให้โลกเรามีออกซิเจนเพิ่มขึ้น 30% อีกด้วย (ไม่รู้ก็รู้ไว้สะ อิอิ) ปัจจุบันโหราศาสตร์ได้พัฒนาไปในรูปแบบที่เป็นวิทยาศาสตร์มากขึ้น ปรัชญาถูกนำมาใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันหลายรูปแบบ ที่เห็นได้ชัดที่สุดคือปรัชญาคำสอนของประเทศจีน เช่น จงใช้ชีวิตให้เหมือนต้นหลิวที่ลู่ลมล้มหักยาก ลองเอาไปคิดดูนะครับบางทีคำสอนนี้อาจปลดปล่อยคุณจากพันธนาการชีวิตก็เป็นได้ มาถึงกุญแจดอกสุดท้ายกันแล้วนะครับนั่นก็คือ “กุญแจแห่งอายุขัย” ต้นเหตุและที่มาของกุญแจดอกนี้เกิดจากประสบการณ์ที่ผู้เขียนเฝ้าติดตามฟังคำพยากรณ์จากนักพยากรณ์มาหลายท่าน จนเกิดความสงสัยขึ้นหลายประการ เช่น อะไรที่ทำให้ชีวิตเราโดนเด่นและแตกต่างจากอดีตที่ผ่านพ้นมา? พลังงานของดวงชะตากำเนิดจะถูกสร้างและแสดงเป็นรูปธรรมได้เมื่อใด? เป็นต้น เมื่อผู้เขียนได้ไต่ถามด้วยความสงสัยกับนักพยากรณ์เหล่านั้น ก็ได้คำตอบที่คลุมเครือไม่ชัดเจนและเมื่อถามบ่อยๆเข้าก็ถูกมองว่า ไปลบหลู่บ้างไม่เคารพกันบ้าง ในบางครั้งมองหน้ากันไม่ติดก็เคยมีมาแล้ว ด้วยเหตุนี้ผู้เขียนจึงหันมาค้นคว้าด้วยตัวเอง (จริงๆแล้วไม่มีทางเลือก เหอะๆ) จากการติดตามคำพยากรณ์จากสื่อสิ่งพิมพ์และโทรทัศน์ แม้แต่การนำดวงชะตาไปให้พยากรณ์ตัวต่อตัว ทำให้ผู้เขียนพบสถิติที่เป็นไปได้และน่าเชื่อถือขึ้น ผู้เขียนใช้ชื่อในการเรียกว่า “กุญแจแห่งอายุขัย” อายุขัย คำนี้เป็นคำกว้างๆบอกถึงช่วงอายุในแต่ละวัยของมนุษย์ ในแต่ละช่วงอายุก็จะมีวงจรชีวิตที่แตกต่างกันไปและมีความโดดเด่นเฉพาะเรื่องอย่างหน้าอัศจรรย์ แต่ความลับของอายุขัยไม่ได้มีเท่านี้เพราะในแต่ละวัยและช่วงอายุล้วนเกิดขึ้นในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างด้วย มนุษย์นี่น่าพิสมัยเสียจริงว่าไหมครับ... ด้วยเหตุนี้นักพยากรณ์(ที่เห็นผิด)ผู้ตั้งตนเป็นเทวดาล่วงรู้อนาคตทั้งหลาย จึงนำมาหาผลประโยชน์ กอบโกยเงินทองจากความไม่รู้ของชาวบ้าน หากแต่ความจริงแล้วทุกสิ่งในชีวิตไม่มีอะไรใหม่ เมื่อมองย้อนกลับไปเมื่อ 1 พันปีก่อนเป็นเช่นไร ปัจจุบันก็มีวิถีชีวิตไม่แตกต่างกัน อาจจะมีเครื่องมือเครื่องใช้ที่ร่วมสมัยมากขึ้นแต่สุดท้ายวงจรชีวิตก็เริ่มต้นและจบลงเหมือนกัน ชีวิตของมนุษย์ถูกแบ่งออกเป็น 4 ส่วนใหญ่ๆ คือ วัยเด็ก, วัยรุ่น, วัยผู้ใหญ่ และ วัยชรา วัยทั้ง 4 นี้ในแต่ช่วงอายุแห่งวัยจะมีรูปแบบชีวิตและปัญหาแตกต่างปลีกย่อยลงไปอีก เช่นในวัยรุ่นปัญหาที่สำคัญและมีอิทธิพลที่สุด คือ เรื่องการเรียนและเรื่องความรัก เหตุเพราะในวัยนี้เป็นวัยที่ต้องการอิสระในการใช้ชีวิต จึงทำให้มีปัญหากับผู้ใหญ่ในเรื่องมุมมองอยู่บ่อยครั้ง จนทำให้วัยรุ่นบางคนถึงกับออกอาการก้าวร้าวไปเลยก็มี เมื่อต้องอยู่ในห้องเรียนที่มีกรอบทางความคิดเห็น วัยรุ่นที่มีความเห็นแตกต่างก็จะถูกติเตียนจึงเป็นที่มาของปัญหาการเรียน ส่วนเรื่องความรักนั้นมาจากที่วัยรุ่นอยู่ในช่วงวัยเด็กสู่ผู้ใหญ่ จะมีฮอโมนต์กระตุ้นอยู่ตลอดเวลาทำให้เกิดภาวะของการสืบพันธุ์ขึ้น ทำให้วัยรุ่นบางคนตัดสินใจมีครอบครัวก่อนวัยอันควร ท่านผู้อ่านทั้งหลายลองคิดตามแล้ว ท่านจะพบว่าในรูปแบบชีวิตที่ได้กล่าวมามีรูปแบบที่คล้ายคลึงกับชีวิตท่านผู้อ่านอย่างมากหรือไม่ก็อาจจะเป็นปัญหาเดียวกันเลย น่าสนใจไหมละครับทำไมชีวิตมนุษย์จึงมีรูปแบบที่คล้ายๆกันแต่ไม่เหมือนกัน ในห้วงจังหวะแห่งอายุขัยยังมีอะไรที่แอบซ่อนอีกหรือไม่? ผู้เขียนเองคนเดียวคงไม่สามารถค้นอะไรได้มากนัก คงต้องฝากให้ท่านผู้อ่านช่วยกันค้นต่อไปครับ